อีกสิ่งหนึ่งสำคัญที่เราต้องรู้คือเรื่องของการทำบัญชีและวางแผนภาษีเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและไม่ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังอย่างบานอ่วม แต่เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อเรามีการทำธุรกิจแล้วได้รับหนังสือแจ้งความ Transfer Pricing จากกรมสรรพากรนั้นมันเป็นอย่างไร และเมื่อได้รับแล้วเราจะต้องดำเนินการต่อยังไงบ้างนั้น และนี่คือคำตอบ
ตามมาตรา 71 ตรี วรรค 2 แห่งประมวลรัษฎากร
นับตั้งแต่วันที่เราได้ยื่นรายงานข้อมูลการจดทะเบียนห้างร้านหรือธุรกิจกับทางผู้ประเมิน ภายใน 5 ปี เราอาจจะได้รับหนังสือแจ้งความเพื่อให้ยื่นเอกสารหรือหลักฐานข้อมูลที่จำเป็นต่อการวิเคราะห์ธุรกิจบริษัท และเมื่อเราได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วนั้นก็จะต้องปฎิบัติตามภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งความ ยกเว้นเราไม่สามารถกระทำได้ภายใน 60 วัน อธิบดีจะอนุญาตขยายกำหนดเวลาออกไปให้แต่จะไม่เกิน 120 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งความนั่นเอง
ใครบ้างที่จะได้รับหนังสือแจ้งความ
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นรายได้เงินหลักของจำนวนรายได้ทั้งหมดของกิจการ
หลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรใช้คัดเลือกบริษัทเพื่อขอตรวจสอบ Transfer Pricing Audit
พฤติกรรมความเสี่ยงและเงื่อนไขต่างๆ ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะถูกเรียกตรวจสอบโดยกรมสรรพากร มีดังนี้
1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวขาดทุนต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี
2. ผลประกอบการของบริษัทไม่สม่ำเสมอ เช่น มีกำไรในปีแรก แต่ปีที่สองขาดทุน ปีที่สามกำไร ปีที่สี่ขาดทุน ทำให้ไม่มีภาษีชำระในรอบหลายปี
3. บริษัทมีกำไรสุทธิต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
4. ผลประกอบการขาดทุนหลังจากหมดระยะเวลาการได้รับการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI
5. มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในธุรกิจของบริษัท ทำให้มีผลกำไรสุทธิลดลงหรือขาดทุน อันเป็นเหตุให้บริษัทเสียภาษีน้อยลงหรือไม่ได้ชำระภาษีเลย
6. มีรายจ่ายค่าบริหารจัดการ ค่าสิทธิ ที่จ่ายให้แก่บริษัทที่มีความสัมพันธ์กันในปริมาณมากหรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ
7. ไม่มีเอกสารหรือหลักฐานที่กำหนดเงื่อนไขราคาหรือธุรกรรมระหว่างกันของบริษัทในเครือ
ทำอย่างไร เมื่อถูกเรียกให้ส่งเอกสารดังกล่าวต่อกรมสรรพากร??
เมื่อถูกเรียกให้นำส่งเอกสารเพื่อตรวจสอบนั้น บริษัทจะต้องทำเอกสาร หลักฐานที่จำเป็นต่อการวิเคราะห์ข้อกำหนดของธุรกรรมระหว่างกันให้กับกรมสรรพากร โดยรายละเอียดเอกสารที่ต้องใช้นั้นปรากฎอยู่ในคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 113/2545 ข้อ 4 ซึ่งมีอยู่ 10 ข้อ
ความยากของการจัดทำเอกสาร Transfer Pricing Documentation
ความยากก็คือเราจะต้องชี้แจงและแสดงให้กรมสรรพากรเห็นว่า วิธีการกำหนดราคาของบริษัทเป็นราคาที่บริษัทอิสระกำหนดกันไว้ถูกต้องแล้ว ดังนั้น เราจึงต้องเปรียบเทียบราคาโดยอาศัยความรู้ทางด้านการทำบัญชีและการวางแผนภาษีเข้ามาช่วยด้วยนั่นเอง
ขั้นตอนการคิดเปรียบเทียบราคา
สมมุติว่าบริษัท A มีผลกำไรสุทธิโดยเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 1% ของยอดขาย แต่จากการวิเคราะห์พบว่ามีบริษัทที่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ 5 บริษัท คือ
บริษัท B มีกำไรโดยเฉลี่ย 3 ปี คือ 3% ของยอดขาย
บริษัท C มีกำไรโดยเฉลี่ย 3 ปี คือ 2% ของยอดขาย
บริษัท D มีกำไรโดยเฉลี่ย 3 ปี คือ 5% ของยอดขาย
บริษัท E มีกำไรโดยเฉลี่ย 3 ปี คือ 6% ของยอดขาย
บริษัท F มีกำไรโดยเฉลี่ย 3 ปี คือ 10% ของยอดขาย
ดังนั้นกำไรสุทธิของบริษัทอิสระคือ 2-10% ของยอดขาย กรมสรรพากรก็จะทำการแจ้งให้บริษัท A ปรับเพิ่มกำไรสุทธิไปที่จุดใดจุดหนึ่งของราคา ซึ่งถ้าสรรพากรแจ้งให้ปรับปรุงกำไรสุทธิไปที่ 5% ของยอดขาย บริษัทจะมีกำไรอยู่ที่ 15,000,000 บาท (5% ของ 300,000,000) ดังนั้นบริษัทจะต้องนำกำไรที่ได้ (15,000,000 – 3,000,000 = 12,000,000 บาท) ไปชำระคืนภาษีให้กับทางกรมสรรพากรนั่นเอง
ทุกคนก็จะได้เห็นกันชัดๆ แล้วว่า Transfer Pricing นั้นถือเป็นของกฎหมายที่คนทำธุรกิจทุกคนต้องรู้และเตรียมตัวไว้เพื่อเป็นข้อมูลตลอดเวลา เพื่อไม่ให้โดนทางกรมสรรพากรเรียกตรวจสอบเพื่อให้คืนภาษีเพิ่มเติมตามมานั่นเอง