บริการของเรา

ความซับซ้อนของบัญชีก่อสร้าง

ความซับซ้อนของบัญชีก่อสร้าง
โดยบริษัทบัญชี RA Accounting

บัญชีบริษัทก่อสร้าง แตกต่างจากธุรกิจอื่นอย่างไร

การทำบัญชีสำหรับธุรกิจก่อสร้างมีความเฉพาะตัวและซับซ้อนกว่าธุรกิจทั่วไปอย่างมาก เนื่องจากลักษณะการดำเนินงานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

สรุปความแตกต่างหลักเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1. วิธีการรับรู้รายได้: งานต่อเนื่อง vs งานสำเร็จแล้ว

นี่คือความแตกต่างที่สำคัญที่สุด

  • ธุรกิจทั่วไป (ขายสินค้า/บริการ): ส่วนใหญ่รับรู้รายได้ทันทีเมื่อขายสินค้าหรือให้บริการเสร็จสิ้นในระยะเวลาอันสั้น (Point-in-Time) เช่น ขายเสื้อผ้า ให้คำปรึกษารายชั่วโมง รายได้จะถูกบันทึกเต็มจำนวนในครั้งเดียว
  • ธุรกิจก่อสร้าง: โครงการกินเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี การรับรู้รายได้จึงใช้วิธี “ตามความคืบหน้าของงาน” (Percentage of Completion Method – POC) คือรับรู้รายได้เป็นระยะตามสัดส่วนของงานที่ทำเสร็จแล้วในแต่ละงวด บัญชี ทำให้สามารถแสดงผลการดำเนินงานที่แท้จริงได้ในช่วงเวลาที่ถูกต้อง แทนที่จะรอให้โครงการสิ้นสุดซึ่งอาจทำให้งบการเงินบิดเบือน (เช่น โครงการที่ทำมา 2 ปี ไม่มีรายได้เลย จนปีที่ 3 เกิดรายได้ก้อนใหญ่พอดี)

2. ต้นทุนและการติดตามงาน: รายโครงการ vs โดยรวม

  • ธุรกิจทั่วไป: ต้นทุนส่วนใหญ่ติดตามเป็นภาพรวมได้ เช่น ต้นทุนขายสินค้า ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
  • ธุรกิจก่อสร้าง: ต้องมีการติดตามต้นทุน “เป็นรายโครงการ” (Job Costing) อย่างละเอียด เนื่องจากแต่ละงานมีเงื่อนไข ราคา และความเสี่ยงต่างกัน บัญชีต้องสามารถแยกแยะเช่น
    – ค่าวัสดุของโครงการ A ใช้ไปเท่าไร
    – ค่าแรงของโครงการ B เป็นเท่าไร
    – ค่าเช่าเครื่องจักรของโครงการ C เป็นเท่าไร
    – ค่าใช้จ่ายโดยตรงและค่าโสหุ้ยที่จัดสรรให้แต่ละโครงการเป็นอย่างไร
    – เป้าหมายหลักคือ การรู้ว่าโครงการไหน “กำไร” หรือ “ขาดทุน”

3. การจัดการงานระหว่างทำ (Work in Progress - WIP)

  • ธุรกิจทั่วไป: มีสินค้าคงคลัง (Inventory) เป็นหลัก ซึ่งนับเป็นสินทรัพย์ชัดเจน
  • ธุรกิจก่อสร้าง: สินทรัพย์สำคัญคืองานระหว่างทำ (WIP) ซึ่งเป็นบัญชีผสมระหว่าง:
    – ต้นทุนสะสม ที่เกิดขึ้นไปแล้ว (วัสดุ, แรงงาน, ค่าใช้จ่าย)
    – รายได้สะสม ที่รับรู้ไปแล้วตามวิธี POC
    – ใบแจ้งหนี้สะสม ที่ออกเรียกเก็บเงินจากลูกค้าไปแล้ว
    – การเปรียบเทียบสามส่วนนี้จะทำให้รู้สถานะทางการเงินของโครงการ เช่น เรียกเก็บเงินล่วงหน้ากว่างานที่ทำเสร็จแล้ว หรือทำงานไปมากแต่ยังเรียกเก็บเงินน้อยเกินไป

4. ความซับซ้อนของสัญญาและรายได้

  • ธุรกิจทั่วไป: สัญญาขายมักมีเงื่อนไขตรงไปตรงมา
  • ธุรกิจก่อสร้าง: สัญญามีหลายรูปแบบและเงื่อนไขซับซ้อน ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้รายได้โดยตรง
    – สัญญาราคาคงที่ (Fixed-Price Contract): มีความเสี่ยงสูง ต้องประมาณการต้นทุนให้แม่นยำ
    – สัญญาแบบต่อหน่วย (Unit-Price Contract): รับรู้รายได้ตามหน่วยงานที่ทำจริง
    – สัญญาแบบราคาต้นทุนบวก (Cost-Plus Contract): ความเสี่ยงต่ำ แต่ต้องมีระบบบันทึกต้นทุนที่โปร่งใสตรวจสอบได้
    – การเปลี่ยนแปลงสัญญา (Change Orders): การเพิ่ม/ลดงานในสัญญาเดิมต้องบันทึกให้ถูกต้อง เพราะส่งผลต่อรายได้และต้นทุนโดยตรง

5. การจัดการเงินสดและลูกหนี้

  • ธุรกิจทั่วไป: วงจรเงินสดสั้นกว่า หลังจากขายของหรือให้บริการก็สามารถเรียกเก็บเงินได้เต็มจำนวนหรือภายในเครดิตสั้นๆ
  • ธุรกิจก่อสร้าง: วงจรเงินตกช้ามาก เนื่องจากมีการเรียกเก็บเงินเป็น “งวด” (Progress Billing) ตามงวดที่ตกลงกัน ซึ่งอาจกินเวลาหลายเดือน และหลังจากออกใบแจ้งหนี้แล้ว ลูกค้ายังอาจมีระยะเวลาชำระเงิน 30-60 วัน การบริหารกระแสเงินสดจึงมีความท้าทายมาก เพื่อให้มีเงินพอจ่ายค่าวัสดุและค่าแรงล่วงหน้า

6. ภาษีและการหัก ณ ที่จ่าย

  • ธุรกิจทั่วไป: การหัก ณ ที่จ่าย (ถ้ามี) มักเป็นไปตามมาตรฐานทั่วไป
  • ธุรกิจก่อสร้าง: ถูกควบคุมเข้มงวดกว่า โดยเฉพาะ การหัก ณ ที่จ่าย 3% ตาม พรบ. ภาษีเงินได้ป้ายแดง 40 มาตรา 69 ตรี ซึ่งผู้จ้างโครงการมักจะหักไว้ก่อนจ่ายเงินให้ผู้รับเหมาเสมอ นอกจากนี้ การจ้างผู้รับเหมาช่วง (Subcontractor) ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีใบอนุญาตถูกต้อง (น.10) เพื่อที่จะสามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีได้

7. การจัดสรรค่าโสหุ้ย (Overhead Allocation)

  • ธุรกิจทั่วไป: ค่าโสหุ้ย (เช่น ค่าเช่าออฟฟิศ เงินเดือนผู้บริหาร) อาจจัดสรรเป็นอัตราร้อยละต่อยอดขายโดยรวม
  • ธุรกิจก่อสร้าง: ต้องมีวิธีการจัดสรรค่าโสหุ้ยไปยัง แต่ละโครงการ ให้ยุติธรรมและสมเหตุสมผล มิฉะนั้นต้นทุนโครงการจะคลาดเคลื่อน อาจใช้ฐานการจัดสรรเช่น จำนวนชั่วโมงแรงงานโดยตรง มูลค่าต้นทุนโครงการ หรือระยะเวลาของโครงการ

สรุปเปรียบเทียบเป็นตาราง

หัวข้อธุรกิจทั่วไปธุรกิจก่อสร้าง
การรับรู้รายได้Point-in-Time (ทันที)Percentage of Completion (ตามความคืบหน้า)
การติดตามต้นทุนโดยรวม (Overall)รายโครงการ (Job Costing)
สินทรัพย์สำคัญสินค้าคงคลัง (Inventory)งานระหว่างทำ (Work in Progress – WIP)
ลักษณะสัญญาค่อนข้างมาตรฐานซับซ้อน หลากหลายรูปแบบ มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย
วงจรเงินสดสั้นกว่ายาวกว่า เนื่องจากเรียกเก็บเป็นงวด
ภาษีมาตรฐานทั่วไปมีการหัก ณ ที่จ่าย 3% และกฎเกณฑ์เฉพาะ
ความเสี่ยงค่อนข้างควบคุมได้สูง จากความไม่แน่นอนของโครงการและการประมาณการ

 

บทสรุป: การทำบัญชีธุรกิจก่อสร้างไม่ใช่แค่การบันทึกรายรับรายจ่าย แต่เป็น “เครื่องมือในการบริหารโครงการและความเสี่ยง” ที่ต้องอาศัยความเข้าใจในตัวโครงการ การประมาณการ และการลงบัญชีที่ถูกต้องอย่างลึกซึ้ง